วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 1: ลำนำแห่งภูผา

                
             ภายใต้ถ้ำหินแห่งภูผาที่สูงตระหง่านเคียงคู่ภูเขาหลินอี๋ บริเวณถ้ำมีหินงอกหินย้อนแต่งแต้มเป็นธรรมชาติ มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงลาน ริบหรี่ และกลิ่นสมุนไพรไล่ยุงป่าลอยกรุ่นกลิ่นอ่อนๆ คัมภีร์จอมยุทธมากมายตั้งกองเรียงราย เป็นระเบียบอยู่ด้านหลัง อีกด้านของผนังถ้ำเป็นที่รวมรวบตำรายาจีนจากทุกมณฑลก็ว่าได้
                 ท่านผู้อาวุโส"ผิงฟง" ตรากตรำเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่พิทักษ์ภูเขาหลินอี๋มาจนย่างเข้าวัยชราถึง 99 ปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำกว่าชาวจีนทั่วไป แววตายังเข้มแข็งไร้ความอ่อนแอ ท่วงท่าที่นั่งยังองอาจไม่งองุ้ม ผิวพรรณยังเต่งตึงกว่าชายชราในวัยเดียวกัน ด้วยพลังจากลำธารน้ำตกที่ไหลรินผ่านธารจากน้ำเพชรสีฟ้าแห่งภูเขาหลินอี๋ที่เป็นธารน้ำที่ไหลผ่านทิวเขาเจ็ดยอดนี้ที่ชาวป่าแถบนี้จะใช้ดื่มกินเป็นประจำ ท่านอาวุโสเป็นที่เกรงขรามและนับถือของชาวยุทธมากมายรวมทั้งเป็นที่เกลียดชังของเหล่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมไม่น้อยเช่นกัน เลือดที่ต้องสาดราดตีนเขาหลินอี๋มาจากร่างจอมยุทธนับไม่ถ้วน ด้วยฝีมือล้ำเลิศแต่เปี่ยมด้วยคุณธรรม ท่านผู้เฒ่าไม่เคยเรียกตนเองว่า"จอมยุทธ" เพราะถือว่าตนมิได้มีฝีมือเก่งกล้าไร้เทียมทาน ผู้เฒ่าถือว่าตนเพียง"ผู้พิทักษ์ภูเขาหลินอี๋"ด้วยหน้าที่ ด้วยคุณธรรมและความเที่ยงตรง ตามพระบัญชา แห่งโอรสสวรรค์ "ภูเขาหลินอี้"แม้จะงดงามเพราะสูงตระหง่านเสียดฟ้า ยามกลางคืนเย็นจัด ยามกลางวันก็เป็นประกายเจิดจ้าแสบตา ภูเขาหลินอี๋เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าดุร้ายมากมาย ยามที่มีกลิ่นไอของคาวเลือด เหยี่ยวภูผาจะโบยบินเข้ากัดกินเหยื่อ สัตว์ป่าจะตามล่าผู้เคราะห์ร้ายที่ย่างกรายเข้ามาจากทุกทิศทุกทางทุกแห่งหน บ้างก็ว่าบนภูเขาเป็นที่อาศัยของมังกรเจี่ยว(มังกรแห่งภูผา) แต่สำหรับผู้เฒ่าแล้ว สัตว์ป่าทุกตัวคือยามแห่งขุนเขา เหยียว แร้ง อินทรี คือผู้นำทาง พืชทุกต้นคืออาหารและยา ผู้เฒ่าอาศัยกองทัพจากสัตว์ป่าในการพิทักษ์ภูผาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยามที่เสียงเป่าแตรดังขึ้น พลพรรคสัตว์ป่าจะเยื้องย่างคุ้มครองอาณาเขตอย่างน่าเกรงขรามยากที่ผู้ใดจะผ่านด่านไปได้ ยามเจ็บป่วยล้วนใช้ยาจากภูผา น้ำจากน้ำตกที่ไหลรินลงมาเป็นธารใส ทุกอนูในกายผู้เฒ่าหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแห่งทิวเขายาวตลอดแนวในย่านนี้
หลายคนถามผู้เฒ่าว่า " ท่านอาวุโสไม่คิดจะหาทางเข้าถ้ำหลินอี๋เองหรือ ท่านก็รู้ว่า ถ้ำนั้นเหมือนยาอายุวัฒนะที่ทำให้ร่างกายของท่านไม่ร่วงโรยตามกาลเวลา"
ผู้เฒ่าผิงฟงก็มักตอบว่า " หากอายุยืนหมื่นปีจะมีสุขได้อย่างไร หากไร้คู่ไร้ฮูหยินที่พึงพิงกันมานาน "
" อายุยืนเพื่อมองคนจากไปหรือ ข้าไม่เห็นประโยชน์ แม้นร่างกายข้ามิอาจเหน็ดเหนื่อย แต่ใจข้าก็เหน็ดเหนื่อยได้ "
" ยิ่งข้าอยู่อีกนานเท่าไหร่ ชีวิตข้าก็ต้องฆ่าผู้คนเพิ่มขึ้นอีกมากมายไม่รู้จบ " สหายที่มายังภูผานี้ หลายคนได้จากไป ยังคงเหลือเพียงผู้เฒ่าที่อยู่อย่างเดียวดาย
ผิงฟง ในยามมีก็จะมีแต่พูดคุยกับเสือ สมิง กวาง เก้ง หมี ลิง ใช้ภาษาไพรมากกว่าจะใช้ภาษาคนเสียด้วยซ้ำ ผู้เฒ่าในอดีตรูปงาม ทั้งหยิ่ง ทรนง อีโก้สูง ฝีมือเยี่ยมหาผู้ใดเทียมทาน แม้จะยึดมั่นคุณธรรม แต่ความอหังกาไม่มีใครเกิน ลองว่าข้าถูกแล้ว ใครๆก็หือไม่ขึ้น มีเพียงลูกชายคนเดียว จินฟงที่ไม่ยอมลดราวาศอกกับบิดา เถียงหัวชนผนังถ้ำไม่เว้นแต่ละวันตั้งแต่เด็ก จะมีแต่ฮูหยินคู่ใจที่ผู้เฒ่าเกรงใจยอมอ่อนให้คนเดียวแต่ฮูหยินก็ได้จากโลกนี้ไปเมืองมาอยู่ที่หุบเขาได้เพียงสามปีทิ้งไว้ให้ผู้เฒ่าเดียวดาย
 
          ผิงฟงสมัยก่อนรับราชการเป็นถึงแม่ทัพตั้งแต่หนุ่ม สามปีเต็มกับผลงานปราบปรามกบฏและเหล่าศตรูที่บุกรุกมากมายจนเลื่องลือ แต่ด้วยความที่หัวรั้น ยอมหักไม่ยอมงอ ขัดใจฮ่องเต้เข้าเลยถูกเนรเทศกลายๆมาทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าภูเขาแห่งนี้ เฝ้าไปเฝ้ามาก็เกิดความรักในธรรมชาติแห่งภูผา รักป่า รักเขา รักสัตว์ป่าที่ดุร้าย วันๆก็ฝึกวิชา และถ่ายทอดวิชาให้บุตรชาย ประลองวิชาและกำลังกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย หลายจ่าฝูงแห่งสัตว์ป่าที่ต้องถูกผิงฟงเข่นฆ่า หลักการคือ ไม่เก่งก็นำทัพหรือสั่งสัตว์ป่าเหล่านี้ไม่ได้ ในเมื่อไม่มีทหารหลวงให้บัญชา มีแต่สัตว์ป่าผิงฟงก็สามารถนำมาเป็นกองทัพของตนได้ เหล่าจอมยุทธและผู้กล้ามากมาย ที่เดินทางมายังหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่คิดจะทำลายธรรมชาติ หรือบุกรุกภูเขาต้องห้ามล้วนต้องเกรงอดีตมหาอำมาตย์ผิงฟงทั้งนั้น

            สายตาของผู้เฒ่ามองผ่านแสงตะเกียงออกไปสู่ความมืดมิดด้านนอก ความในใจยากที่จะขจัดไปได้หลายปีที่ท่านผู้เฒ่าพยายามจะฝึกฝนและปลูกฝังบุตรชายให้สืบทอดตำแหน่งของเขา แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ สายตาที่ไม่ฝ้าฟางมองไปด้านนอกยังจำได้เมื่อครั้งพาครอบครัวมายังขุนเขาแห่งนี้ มีฮูหยินและคนรับใช้อีกสองคนที่ติดตาม จินฟงขี่หลังคนรับใช้ชายเก่าแก่ "เฟอะหลู" ส่วน"ไชปิง"คนรับใช้ส่วนตัวของ"ฮูหยินชวนชิเหลียน" ก็เดินตามนายหญิงติดๆเพื่อควรระแวดระวังภัย ผิงฟงนำผู้ติดตามมาแค่สองคนเพราะคิดว่าการมาอยู่หุบเขานี้เป็นเรื่องลำบากยากที่จะฝืนใจหรือให้พวกที่ยังหนุ่มสาวติดตามมา จะมีแต่คนเก่าแก่ที่รู้ใจที่ผิงฟงถามไถ่ให้สมัครใจเท่านั้น กองสัมภาระมากมายถูกช่างหาบขนเรียงกันเข้ามา ที่หนักไปขนมาไม่ได้ก็ต้องขายหรือยกให้คนเก่าแก่ที่รับใช้กันมา ฮูหยินเดินตามหลังเขามาโดยไม่ปริปากบ่นเหนื่อยสักคำเดียว เขายังจำใบหน้าเหนื่อยอ่อนของฮูหยินได้ดี แล้วก็ยังจำลูกชายวัยสามขวบของเขาได้เมื่อวันที่มาถึงหน้าถ้ำ
" ไม่เอาๆ เฟอะหลู ห้ามปล่อยข้าลง ข้าจะกลับบ้าน ข้าไม่อยู่ในถ้ำ ข้าไม่ใช่หมี" จินฟงในวัยเด็กอาละวาด
" พ่อแม่อยู่ที่นี่ จินฟงลูกจะไม่อยู่กับท่านพ่อหรือท่านแม่รึลูก " ฮูหยินของเขาถามอย่างอ่อนโยน
" ท่านพ่อท่านแม่ทำไมจะมาเป็นหมี ข้าไม่อยากเป็นหมี ข้าแค่อยากกลับบ้าน"
" เฟอะหลูปล่อยเขาลงมา"
" หากเจ้าอยากกลับก็เดินกลับไปเอง ตามใจเจ้า" ฮูหยินพูดด้วยใบหน้านิ่ง
จินฟงวิ่งตื้อลงเขาไป ทางแนวที่พอจำได้
"คุณชาย คุณชาย อย่าไปมันอันตราย"
"อย่าตาม เฟอะหลู ไชปิง ปล่อยเขาไป"
แล้วนางก็ตามเขาเข้าไปสำรวจถ้ำ สั่งทำคามสะอาดและสั่งลูกหาบยกของให้เข้าที่ ไม่นาน ถ้ำใหญ่ก็กลายเป็นบ้านพักหลังใหญ่ที่โอ่อ่าไม่เบา แต่ก็กินเวลาพลบค่ำทีเดียว
เฟอะหลูทำงานไปก็เข้ามาสะกิดถามเขาเป็นระยะๆ เรื่องตามหาคุณชาย เพราะกลัวเสือจะคาบไปกิน
แต่ผิงฟงก็สั่นหัวให้นิ่งเสีย จนค่ำ
จินฟงก็วิ่งหน้าตื่นกลับมา หน้าตามอบแมม แต่ในอ้อมอกกับมีอะไรอยู่
"ท่านพอ ท่านพ่อ มาดูไรนี่" เสียงบุตรชายหน้าตื่นแต่ยิ้มแย้มอย่างภูมิใจ
แต่เมื่อทุกคนเห็นสิ่งที่อยู่ในอ้อมอกก็ขนลุกขึ้นทันควัน
ลูกเสือโคร่งตัวน้อยๆ คงเกิดได้ไม่กี่วัน "น่ารัก ไหมท่านพ่อ ข้าจะเลี้ยงเสือ"  เสียงนั้นสดใสลืมไปว่าตนไม่ต้องการอยู่ที่หุบเขานี้
แต่สำหรับผู้ใหญ่ทุกคนรู้ดีว่า ภัยกำลังจะมาเยือน เมื่อมีลูกเสือก็ต้องมีแม่เสือและพ่อเสือ ฝูงเสือ แล้วมันต้องตามหาลูกของมัน สัตว์มันจะดมกลิ่นแล้วนี้จินฟงพามันมาถึงถ้ำ ไม่ทันจะตั้งตัวทัน
" โฮก " ดังก้องกังวาลแข่งกันก็ดังขึ้นไม่ไกล
" ท่านแม่ทัพ มีหลายตัวแน่เลยท่าน"
" ทุกคนเตรียมพร้อม "
คำสั่งนั้นทำให้เหล่าลูกหาบและทุกคน มารวมกลุ่มกัน
" ปล่อยมันไป จินฟง " ผิงฟงสั่ง"
" ไม่ท่านพ่อ ข้าเจอมันๆเป็นของข้า "
แต่ไม่ทันจะเถียงกันว่าอะไร อาธทุกคนพร้อมมือ แต่เบื้องหลังจินฟง เสือโคร่งตัวใหญ่กว่าสี่ฟุต สองตัว ที่ขนาดรองลงมาก็ไม่น้อยหน้ากันเท่าไหร่อีกเจ็ดตัว ลายเข้มแสดงถึงวัยที่โตเต็มที่ ถ้านับจำนวนเสือและลูกหาบก็เท่ากันพอดี เก้าต่อเก้า ลูกหาบเริ่มอกสั่นขวัญลอยไป แต่ลูกชายเขาหันหลังกลับไปทางฝูงเสือ
เผชิญหน้ากันเต็มตา
" ลูกเจ้ารึ" เด็กน้อยร้องถามองอาจ จ้องตาเสือใหญ่ไม่กระพริบ
"ลูกเจ้าชอบเล่นกับข้า ข้าจะเลี้ยงมัน"
"ข้าตั้งชื่อให้มันแล้ว มันชื่ออู่ซือ แปลว่าแข็งแรง กของเจ้าจะได้แข็งแรงอย่างไรเล่า "
" โฮก ๆๆๆๆๆๆๆๆ" ฝูงเสือร้องรับพร้อมกันดังสนั่นป่าอย่างพรั่นพรึง
ตาต่อตาจ้องกัน ลูกเสือโคร่งในอ้อมกอดก็เลียจินฟงเล่น จินฟงลูบหัวลูกเสืออ่อนโยน ฝูงเสือร้องก้องอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไป สร้างความอัศจรรย์ใจกับทุกคนตรงหน้า ฮูหยินวิ่งรี่มาที่บุตรชาย
" นี่เจ้า เจ้าไม่กลัวมันหรือ" ฮูหลินของเขาเข้าไปถามด้วยตัวสั่นเทา ความกลัวที่จะสูญเสียบุตรชายไปยังไม่ทันสร่างซาลง
" ไม่กลัวครับ ท่านพอสอนข้าว่า หากไม่ได้กระทำผิดแล้วไซร้ไยต้องกลัวชะตาฟ้า"
               ทุกคนในที่นั่นมิอาจปลดปล่อยยิ้ม แต่หัวใจของผิงฟงนั้น ซาบซ่าน บุตรชายเขานั่นมิได้ละเลยในคำสอนของเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ ความไม่กลัวและมั่นใจในตัวเองจนเกินไปอาจทำลายเขาได้
เช่น ตัวผิงฟงเอง นานมาแล้วจากวันนั้น ห้าสิบเจ็ดปีที่จินฟงอยู่ท่ามกลางหุบเขา แต่ความมุ่งมั่นที่จะชนะความเชื่อของเหล่าผู้คนยังไม่สร่างซา เหมือนเสียงหินหล่นลงผา แต่มันกลับเหมือนเสียงร้องก้องผากึกก้องสะท้อนไปมาในห้วงคำนึง

               ผู้เฒ่ารู้ว่า อีกไม่นานวัยชราผ่านมานานมากแล้ว กาลเวลาของเขาจะสิ้นสุดลง..............
          ผู้เฒ่าวางพู่กันจีนบนโต๊ะเมื่อแสงจันทร์ถูกเมฆบดบังล้มตัวลงนอนบนพื้นฟางที่ปูทับด้วยผ้าหนาผืนใหญ่ ดึงขนสัตว์ขึ้นปิดกายกับอากาศเย็นยะเยือกยามค่ำคืน ไฟหน้าถ้ำยังคงลุกโชนสร้างความอบอุ่น แต่บุตรของเขาก็ยังไม่กลับมา................ชายชราเติมฟืนหน้าถ้ำแล้วเข้านอน

              บนโขดหินสูงชันริมหน้าผา เสียงหวีดร้องของลมที่หุบเขา ภูเขาหลินอี๋สูงตระหง่านอยู่กลางเทือกเขายาวเป็นแนวมียอดเขาอีกหกลูกเรียงล้อมรอบเป็นแนวรูปครึ่งวงกลมมีภูเขาหลินอี๋เป็นศูนย์กลาง และบนผานี้คือยอดที่สามแห่งทิวเขาครึ่งเสี้ยว เป็นยอดผาที่สูงเทียบยอดของภูเขาหลินอี้ หกยอดเขาที่ไร้นาม ปกคลุมด้วยป่าทึบนานาพรรณ เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านหน้าผาดังเหมือนเสียงเรียกจากพื้นพิภพหรือบาดาล เหมือนปีศาจอาระวาดให้หวาดกลัว ท่ามกลางความมืดไร้แสงอาทิตย์คงมีแต่แสงดาวประดับฟ้าและแสงจันทราเลือนราง ทิวไผ่ลู่ล้อลมแรงเสียงกิ่งไม้กระทบกันคล้ายเสียงตุ้งเซียว(ขลุ่ยจีน) กับกู่เจิงปะทะกัน

              บุรุษใบหน้าสง่างามในร่างกายกำยำ ชุดดำพรางร่างเขาให้กลมกลืนกับแสงแห่งราตรี ท่านั่งสมาธิแน่วนิ่ง ลมแรงพัดชายผมปลิวไสวแข่งกับชายผ้าคาดเอวอากาศยามค่ำคืน อันหนาวเหน็บไม่อาจทำให้ร่างนั้นหนาวสะท้านได้เลย การฝึกฝอ จ่าน เชียน โส่ว ฝ่า (พระพุทธ พันมือ) ของบุรุษนี้ถือว่าอยู่ในขั้นสูงสุด จึงไม่แปลกเลยที่อากาศหนาวมิอาจทำให้เขาหวั่นเกรงได้ แต่หัวใจของเขาสิกลับหนาวเหน็บนัก แม้ในเวลากลางวันไร้ความเย็น จินฟงไม่เคยกลัวเสือสักตัว หรือสัตว์ทุกพันธุ์ ตั้งแต่เด็ก หนุ่มผู้ทรนงในตัวเอง มุ่งมั่นฝึกวิชา ตำราแพทย์ และค้นหาถ้ำทุกถ้ำมากมายในหุบเขานับไม่ถ้วนตั้งแต่หนุ่ม เขาไม่เคยกลัวใครแม้แต่บิดาคู่ต่อสู้ที่สุดคนเดียวของเขา แม้เขาจะแพ้บิดามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยกลัวที่จะประลองกับบิดา สุดยอดปรมาจารย์คนเดียวของเขาที่เขาภูมิใจ บิดาไม่เคยอ่อนข้อให้เขา เจ็บเป็นเจ็บ ล้มก็ลุกเอง หัดรักษาบาดแผลเอง เดินป่าก็มิเคยแบกแม้เขาจะบ่นไปเดินไปตลอดทาง
             เป็นเวลาอีกสองชั่วยามบุรุษนั้นก็ลืมตาขึ้น ราตรีแห่งขุนเขาที่เคยชิน มีเสียงสัตว์ออกหากินบ้างประปราย นกราตรีส่งเสียงร้องวังเวง  แววตาบุรุษนั้นล่องลอย วัย 60 ปีที่ล่วงเลยมา เขามิอาจทิ้งบิดาให้เดียวดายแล้วจากไป แม้ร่างกายภายนอกนั้นเขาจะเหมือนบุรุษหนุ่มในวัยประมาณ 36 ก็ตาม แต่ดวงตาอันอ่อนล้าเหนื่อยหน่ายของเขามันมากกว่าวัย 60 เสียด้วยซ้ำ บุรุษนั้นค่อยๆก้าวเดินตามแนวเขากลับสู่ถ้ำริมหน้าผาที่เป็นที่พักของเขามายาวนานถึงหกสิบปี ฟืนหน้าถ้ำยังไม่มอด แสดงว่าบิดาของเขาเพิ่งเข้านอนไม่นานนัก แถบนี้เป็นหน้าผาสูงทั้งสิ้น ถ้ำขนาดใหญ่แห่งนี้เหมือนบ้านของเขา ในถ้ำลึกมีห้องมากมายกว่าห้าสิบห้อง แบ่งเป็นห้องพัก ห้องปฐมพยาบาลยามที่ชาวป่าแทบนี้ได้รับอันตรายหรือมีโรคภัย คนภูเขาส่วนใหญ่จะไม่ชอบลงจากเขาจึงมีพ่อค้านำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกับของป่าและสมุนไพรหายากที่พวกเขาต้องการ ถ้ำผิงฟง จึงเหมือนโรงพยาบาลและร้านค้าไปในตัว ชาวบ้านป่าเอาของที่หามาฝากขาย เมื่อพ่อค้าเดินทางมาก็จะมาซื้อผ่านผู้อาวุโสผิงฟง ถ้ำนี้จึงเป็นแหล่งรวมของสินค้าชั้นดีมากมายโดยเฉพาะตัวยาสมุนไพร หนังสัตว์ ดีหมี ดีงู ฯลฯ
             เวลาร่วมอาทิตย์ที่เขาคิดจะละทิ้งหุบเขาแห่งนี้ไป ละทิ้งบิดา และธรรมชาติที่หล่อหลอมเขามา สองขาของเขามิอาจละทิ้งขุนเขา จินฟงหันไปมองบิดาที่หลับอยู่ เขารู้ว่าท่านรู้สึกตัวเมื่อเขากลับมาแต่มิเอื้อนเอ่ยใดใดแต่หลับตาเฉยอยู่มีเพียงสีหน้าที่เปล่งประกายด้วยความปิติ เขามองแล้วเดินไปยังที่นอนของตัวเองหลับอย่างมีความสุขในถ้ำที่คุ้นเคย เขาตั้งใจว่าจะไม่มีวันละทิ้งหุบเขาแห่งนี้ไปอีกเลย เพราะไม่ว่าที่นี่จะมีถ้ำหลินอี๋หรือไม่ แต่นี่คือบ้านของเขา และจะเป็นที่ตายของเขา เขาจะปกป้องมันจากมนุษย์ที่มาทำลายธรรมชาติ คิดเพลินจนนอนหลับไปอย่างมีสุขด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงทำให้เขาเหมือนชายหนุ่ม
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า คิดจะตามหาข้าหรือ" เสียงของบุรุษในฝันดังลั่น บุรุษนั้นสวมชุดขาวโพลน ผมขาวยาว ผิวกายขาวเผือดเหมือนไม่ได้โดนแสงอาทิตย์มานานวัน เสียงชราแต่ท่าทางหนุ่มแน่น ผมขาวแต่กายมิเหี่ยวย่น ร่างนั้นนั่งนิ่งบนแท่นเพชรสีแดงฉาน รอบแท่นเป็นทุ่งสีมรกตของอัญมณี ปากมิได้ขยับแม้แต่น้อย แต่มีเสียงดังออกมาก้องกังวานและสะท้อนกลับไปมา " ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ไม่นานภาพในถ้ำก็เปลี่ยนไปเป็นป่าเมฆ เงาต้นไม้รางเลือนเพราะเมฆปกคลุมหนาแน่น เขาเดินวนไปทั่วจนเจอต้นหงส์ฟู่ใหญ่ขนาดสิบคนโอบ และบนผิวต้นไม้นั้น มีอักษรสลักใจความว่า
หากใจมุ่งมั่นปลอดโปร่ง หัวใจเจ้าเปิดโล่งรับภูผา
จงเดินไปตามทิศบูรพา    แล้วหันไปหาบันไดจากอาทิตย์อัสดง

" ฮ่า ฮ่า ฮ่า " เสียงหัวเราะยังกึกก้องก่อนจะจางหายไป
" เดี๋ยวท่านผู้อาวุโส อย่าเพิ่งไป " จินฟงร้องเรียกดังลั่น

จินฟง สะดุ้งตื่น หลาย้ปีมานี่น้อยครั้งที่เขาจะฝัน และฝันที่ผ่านมาเหมือนเขาได้อยู่ในป่าเมฆนั้นจริงๆ ต้นฟู่หงส์สูงตระหง่านพร้อมอักษรสลักยังติดตา เสียงผู้อาวุโสในฝันยังก้องในหัว เขาลุกจากที่นอนอันอบอุ่น บิดาคงลุกออกไปนานแล้ว เพราะกาน้ำชาถูกชงไว้บนเตาหินมีเพียงไอร้อนจางๆลอยออกมา ถ้วยชาที่วางทิ้งไว้ก็เย็นชืดแล้ว อากาศยังขมุกขมัวนัก หมอกลงหนายามเช้าตรู่ เสียงนกเริ่มบินออกหากินแม้มีแสงตะวันขึ้นเพียงริบหรี่ จินฟงล้างหน้าแปรงฟันแล้วรินชาดื่ม เดินดูกองตำราและบันทึกต่างๆของบิดา ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เพราะเขาไม่เคยสนใจตำราอื่นใดนอกจากตำรายุทธเท่านั้น จินฟงฝึกยุทธและเรียนรู้เคล็ดลับวิชาจากสำนักต่างๆ และฝึกฝนมาตั้งแต่สามขวบปี ลมพัดลอดช่องเข้ามาในถ้ำจนตำราและบันทึกต่างๆพลิกปลิว เขารีบจัดให้เข้าที่และเอาอะไรทับ และ....บันทึกเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือเขานี้ เก่าคร่ำครา สีน้ำตาลเข้มด้วยเวลา กระดาษโบราณหนาเริ่มกรอบ ตัวหนังสือเริ่มเลือนและขาดบ้างแล้ว เหมือนมันถูกพลิกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่ทำให้เขาสนใจ คือภาพวาดที่อยู่ในนั้น ภาพนั้นเป็นภาพบุรุษเลยวัยกลางคนไปมากแล้ว อายุประมาณ 60 ปี แต่เป็นภาพวาดที่ทำให้เขานึกถึงท่านผู้อาวุโสในฝัน ต่างกันที่ในภาพนั้นผมยังดำ แต่เค้าใบหน้านั้นไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นริ้วรอยบนใบหน้าและแผลเป็นบนหน้าผากเป็นรอยยาวเด่นชัด ไม่เหมือนภาพในฝันของเขาที่ไร้ร่องรอยแม้เพียวรอยเหี่ยวย่น จินฟงพลิกหน้าปกดู "บันทึกการเดินทางของอู๋ถัง" ไม่มีนามผู้บันทึก
                      บัดนั้น จินฟงตัดสินใจทันที เขาต้องรู้ให้ได้ว่าต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางป่าเมฆเช่นในฝันมีจริงหรือไม่  อย่ากระนั้นเลย จินฟงเก็บบันทึกและตำราที่ปลิวเข้าที แล้วหยิบบันทึกการเดินทางเก็บในเสื้อ ก่อนจะเตรียมการเดินทาง เทชาร้อนใส่กระบอกหนัง หยิบเนื้อแห้ง ยา อาวุธ ติดตัวไป ก้าวออกไปนอกถ้ำอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆของการตามหาถ้ำบริเวณทิวเขาแห่งนี้ เขามีความเชื่อลึกๆว่า ต้นไม้ใหญ่นั้นต้องมีจริงๆ นึกแปลกใจอยู่บ้างที่บิดาเขามีบันทึกเล่มนี้แล้วทำไมไม่เคยบอกเขาให้ล่วงรู้เลย และบิดาไม่คิดจะค้นหาคำตอบว่า ทางเข้าถ้ำอยู่ที่ใดบ้างเลยแม้แต่น้อยหรือ ทั้งๆที่บิดาเชื่อว่าถ้ำนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตำนาน แต่ทำไมบิดาแค่เพียงทำหน้าที่พิทักษ์ภูเขาหลินอี๋อย่างเคร่งครัดเท่านั้น หรือ ความลับแห่งภูผาจะมีสิ่งใดปกปิดอยู่อีก ย่างเท้าหนักแน่นบนพื้นแห่งภูผา ผ่านแนวทิวเขาโดยใช้บูรพาทิศ ยามมีมีแสงอาทิตย์อ่อนโยนเป็นแสงส่องสว่าง ผู้กล้าเมื่อเดินหน้าแล้วใยจะหันกลับเป็นคติประจำใจที่เคยลืมเลือนไป มุ่งค้นหาป่าเมฆที่แท้จริงตามในฝันแน่วแน่ เสือโคร่งพยัคฆ์แห่งขุนเขา"เหลาหู๋" เปรียบดั่งสหายสนิทของจินฟงมาแต่เยาว์วัย เมื่อเห็นจินฟงบ่ายหน้าออกจากอาณาเขตที่พัก ก็ร้องคำรามก้องทักทาย " โฮก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ก้องผา
" สวัสดีสหาย" จินฟงทักทาย " โฮก" มันขานตอบอย่างคุ้นเคย จินฟงตบหัวมันเบาๆ
เหลาหู๋ เดินตาม ตัวมันสูงใหญ่น่าเกรงขาม ลายเสือเด่นชัดสวยงาม มันเดินตามจินฟงไปไม่ห่างเหมือนสหายผู้ภักดี จินฟงเดินลิ่วดุจลอยไป เสือใหญ่ก็ตามติดไม่ห่างกัน ไม่นานดวงอาทิตย์ก็ขึ้นตรงกลางเหนือฟากฟ้า จินฟงหลี่ตาด้วยแสงแดดจ้าย่างกรายจนแสบตา ความหิวเริ่มถามหา เสียงท้องครวญครางดังสนั่นเบากว่าเสียงคำรามของเสือนิดเดียว
" เหลาหู๋ สหายเราพักกันก่อนเถิดนะ ท้องข้าจะร้องแข่งกับเสียงเจ้าแล้ว" จินฟงร้องบอก
" โฮก" เสือแสนรู้ร้องรับเหมือนเข้าใจ
 จินฟงลัดเลาะจนถึงลำธาร ปีนป่ายโขดหินเพื่อล้างหน้าล้างตาแล้วเอาสองมือจับปลาที่แหวกว่ายไปมาอย่างรวดเร็วดุจงูฉกเหยื่อ โดยไม่ต้องใช้สาตราวุธใดใด กองไฟถูกสุมในไม่ช้าจนลุกโชน ปลายี่สิบตัวถูกย่างจนหอมฉุย
" เอ๊าสหาย " ว่าแล้วก็ส่งปลาย่างที่อุ่นแล้วให้เหลาหู๋ที่หมอบอยู่ข้างๆ ปลาสิบห้าตัวถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว
"สงสัยสหายจะไม่อิ่ม ข้าแบ่งให้อีกสามตัวแล้วกัน "
" โฮก โฮก "  เหลาหู๋คงชอบใจเมื่อปลาตัวใหญ่อีกสามตัวถูกวางไว้ให้
" ถ้าไม่พออีก สหายก็ไปจับเองแล้วกันนะ" ว่าแล้วจินฟงก็เอนกายพิงต้นไม้ใหญ่  พักเอาแรงและนอนเกาสะดือไปพลางๆ ส่วนพยัคฆ์หนุ่มก็ทำไม่ต่างกันกับผู้สหายอาวุโส ที่เอาขาเกาตัวแมลงที่มาเกาะแกะและทำความสะอาดขนของมัน
เมื่อพักได้ที่แล้ว จินฟงและสหายก็เดินทางต่อไป เสียงสัตว์ป่าไล่กันเวลาหาเหยื่อมีให้เห็นมิได้ขาด ออกจากป่าอนุรักษ์ก็เป็นป่าเบญจพรรณที่มีสมุนไพรหายากมากมายกว่าห้าพันชนิด บริเวณนี้มักเจอชาวป่าที่มีอาชีพหาสมุนไพรขายมาเก็บยาบนเขาสูงๆอยู่เสมอ แต่ก็เฉพาะพวกที่คุ้นเคยกับป่าแถวนี้เนื่องจากเป็นป่าหนาทึบ มีสัตว์ป่าและงูอยู่มาก ทางขึ้นเขาก็ลาดชันกว่าเนินอื่น ภูเขานี้เป็นยอดที่หกของบรรดาที่ล้อมยอดเขาหลินอี๋ไว้ แต่มันอยู่ด้านบูรพาทิศ ภูเขานี้มีดินเป็นสีเหลือง แม้แต่ดินก็สามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ ว่ากันว่าหากใครร่างกายบอบช้ำหรือช้ำในแล้ว พอกกายด้วยดินเหลืองสักสิบสองชั่วยาม เลือดที่คั่งก็จะถูกขับออกมา ยิ่งได้ทานน้ำจากฟู่หลิง กับ ตังกุย เสริมแล้วละก้อไม่นานอาการระบมและเลือดคั่งจะหายเป็นปลิดทิ้ง จินฟงเริ่มเอามีดทำเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้ใหญ่เมื่อไม่ได้เลาะแนวสันเขาแต่ตัดตรงผ่านป่าทึบเบื้องหน้าไปตามบูรพาทิศ  " จงเดินไปตามทิศบูรพา    แล้วหันไปหาบันไดจากอาทิตย์อัสดง" แม้ไม่เข้าใจปริศนาบนก้อนศิลา แต่ก็คิดว่า ป่าเมฆที่เห็นอาจอยู่ที่นั่น เสียงงูเลื้อยเมื่อผ่านแอ่งน้ำเล็กๆพอดื่มได้ ทางเขาด้านนี้ชันเป็นโขดหิน แต่วิชาตัวเบามีประโยชน์ในการนี้ จินฟงบุรุษแห่งภูผาจึงเคลื่อนกายผ่านไปได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว แต่สหายเหลาหู๋นั้น มีขีดจำกัดอยู่ เพราะหากชันมาก ร่างกายที่หนักของมันจะทำให้หินและดินตกลงมาเมื่อมันกระโดดหรือปีนป่าย
" เจ้าส่งข้าที่นี่ก็ได้ เหลาหู๋ "
" โฮก" มันรับรู้
" ฮั่นแน่ ท่าทางจะขี้เกียจเดินล่ะสิ ข้ารู้นะ" จินฟงรู้ว่าเหลาหู๋เองก็ชราแล้วไม่น้อย แต่แกล้งสัพยอกสหายสนิท ครั้งแรกที่มันเป็นเพื่อนกับเขานั้นเหลาหู๋อายุเพียงสามเดือน เล่นกันมันมาตั้งแต่มันยังเป็นลูกเสือโคร่ง จนบัดนี้สูงใหญ่ อายุยี่สิบห้าปีของเหลาหู๋จึงถือว่าเป็นเสือชราเลยทีเดียว
แล้วสหายรักทั้งสองก็เอ่ยลากัน ณ ทางลาดสูงชันตรงนั้นเอง จินฟงเอื้อมมือไปสลักกากบาทไว้เช่นเคยก่อนจะหันหลังเดินจากไป ภายหลังอำลาสหายเฒ่าอย่างเลี่ยงไม่ได้ จินฟงลัดตัดเขาทึบไปตลอดทาง อย่างรวดเร็ว ความสูงไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ความรกก็เป็นสิ่งที่ทำให้การเดินทางล่าช้าลงมาก กว่าจะตัดพ้นป่าทึบเข้าสู่ไหล่เขาอีกด้านก็ได้เวลาเย็นมากทีเดียว ความอ่อนล้าเริ่มเข้ามาแทนที่
            ไหล่เขาสูงชันยามเย็นแดดแรงกล้าลดลงมาก แต่ดูเดียวดายเมื่อมองไปยังผาด้านล่าง แนวป่าสันเขาเรียงรายสูงใหญ่ ทางเรียบบ้างคดเคี้ยวบ้าง ความสงบเริ่มมาเยือน มีเพียงเสียงนกบ้าง แร้งบ้าง โฉบเฉี่ยวกินซากศพสัตว์ที่เป็นเหยื่อที่ถูกล่าทิ้งไว้ตามธรรมชาติแห่งป่า บ้างเป็นผู้ล่า บ้างตกเป็นเหยื่ออันโอชะ บ้างก็เป็นผู้เก็บกวาดหลังการล่าสิ้นสุด มันไม่ใช่ความโหดร้าย แต่เป็นธรรมชาติของการอยู่รอด จินฟงยามนี้มุ่งมั่นกว่าที่เคยเขามีความเชื่อว่า นิมิตในฝันครั้งนี้ ต้องเป็นความจริง ทุกย่างก้าวของเขาจึงเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความมั่นใจ
             ตะวันเคลื่อนคล้อยต่ำลงช้าๆ หลบดวงหน้าแดงฉานสู่หุบเขาทางตะวันตกเบื้องหลังเขา แสงอาทิตย์อัสดงดุจเลือดสาดภูผาจนแดงฉาน นกนานาชนิดเริ่มบินกลับบ้าน  ปริศนาในฝัน        
" จงเดินไปตามทิศบูรพา    แล้วหันไปหาบันไดจากอาทิตย์อัสดง" ดังก้องอยู่ในหัวอย่างไม่เข้าใจ           จินฟงมองหาที่พักพิงยามราตรีนี้  ปากถ้ำเล็กๆปรากฎอยู่เบื้องหน้า  ใกล้ๆน้ำตกตามธรรมชาติอันสูงชัน แสงบนท้องฟ้ายังคงเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆทุกวินาที เขาเดินทางมาทางทิศบูรพาแล้วหันไปมองเบื้องหลังก็ไม่ปรากฎบันไดสักอันให้เห็น
" อะไรกันหว่า บันไดจากดวงอาทิตย์ตก ข้าไม่เข้าใจโว้ย"
"ข้าไม่เข้าใจโว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เสียงสะท้อนจากคำพูดเขาที่กรอกใส่หน้าผาดังสะท้อนไปทั่ว จนเจ้าตัวต้องขำกับตัวเอง
" ไม่รู้แล้วโว้ย ตอนนี้เหนื่อย หิว ขออาบน้ำ กินข้าว แล้วนอนเกาสะดือก่อนแล้วกัน "
ว่าแล้วจอมยุทธหนุ่มก็เดินไปที่ถ้ำที่เขาเล็งไว้แล้วว่าจะเป็นที่พักสำหรับคืนนี้ เก็บกวาดเรียบร้อย วางของส่วนตัวแล้วเปลี่ยนผ้าแล้วจึงกระโดดไปอาบน้ำยังธารน้ำตกข้างถ้ำ แล้วแหวกว่ายจับปลามาหลายตัว ก่อนจะก่อไฟเตรียมไว้ข้างโขดหิน พร้อมทำแอ่งเล็กๆกักปลาที่จับมาไว้ใกล้ๆกัน ความสดชื่นของน้ำทำให้เขาอาบน้ำใสๆอย่างเพลิดเพลิน จนเหลือแสงอาทิตย์ปรากฎเพียงริบหรี่ ที่สะท้อนละอองน้ำปานประหนึ่งเกล็ดเพชรเป็นละอองแวววาว ก่อนจะเดินขึ้นจากธารน้ำตกอย่างสดชื่น
" เฮ้ยปลาข้าหายไปไหนหมด ข้าขังไว้ไม่มีทางมันจะหายตัวไปได้ " จินฟงโวยวายงุ่นง่านอยู่คนเดียวพร้อมสำรวจร่องรอยสัตว์ที่บังอาจคาบปลาที่จับไว้ไปกิน
" ไม่มีรอยเท้าสัตว์สักตัว กลิ่นสาบสัตว์ก็ไม่มี "  สายตาอันเฉียบคมมองอย่างสำรวจ มีรอยน้ำหยดให้เห็นเป็นทางตามหินก้อนใหญ่ๆริมลำธารที่ยังไม่แห้ง ขนาดเท่าๆกับเท้าคนแต่เล็กกว่าเท้าเขา
อารมณ์หิวผสมโกรธ ทำให้เดินตามรอยอย่างรวดเร็ว ไปทางด้านหลังน้ำตก กลิ่นปลาย่างหอมโชยมาเข้าจมูกเร่งน้ำย่อยในกระเพราะให้เดือดพร่าน
         จินฟงค่อยๆหลบหลังต้นไม้ใหญ่เพื่อสังเกตุการณ์เมื่อเข้าใกล้บริเวณต้นกำเนิดกลิ่น  กองไฟที่ก่อด้านหน้าลุกโชน  มีปลาที่ถูกไม้เสียบย่างอยู่อีกสองตัวพาดไว้กับขอบเตาที่ทำจากหินเรียงกัน แต่อีกตัวอยู่ในมือของเด็กคนหนึ่งที่กำลังพยายามบรรจงหยิบเนื้อปลาที่ยังร้อนควันกรุ่นๆ อยู่อย่างเบามือพร้อมเอาปากเป่า สลับกับหันไปกลับปลาย่างบนกองไฟอย่างเพลิดเพลิน
" ไอ้เด็กเวร ขโมยปลาย่างข้า ไม่รู้ซะแล้วว่าของใคร " เขานึกในใจก่อนจะแน่ใจแล้วว่า ไม่มีผู้ใดอยู่ในบริเวณนั้นอีก
" ไอ้หนู บังอาจขโมยปลาของข้า" จินฟงก้าวออกไปยืนเบื้องหน้าร้องทวงปลาอย่างองอาจ ขณะที่ภายในท้องของเขากำลังร้องเรียกหาอาหารอย่างครึกโครม
"ไอ้หนู" ที่จินฟงเรียก ยังนั่งมองหน้าเขานิ่งเฉย พลางยังคงแกะเนื้อปลามากินอย่างเบามืออย่างไม่เดือดร้อนหรือมีความหวั่นเกรงเขาแม้แต่นิดเดียว ท่าทางที่นั่งกินเฉย ตาจ้องเขาไม่กระพริบทำให้จินฟงเดือดพร่าน แต่...ไอ้หน้าขาวๆตากลมโตใสแจ๋ว แก้มขาวเนียนดูมอมแมม ชุดที่ใส่เหมือนผู้ชาย มีผ้าโพกหัวไว้เหมือนหนุ่มน้อย แต่ตัวบอบบางนัก มือขาวๆที่หยิบเนื้อปลาใส่ปากอยู่ก็เรียวบางสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะเป็นมือบุรุษ  จินฟงก้าวเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นอีก จนมองชัดว่า "ไอ้หนู" คงจะเป็นดรุณีเสียมากกว่า ท่าทางเดือดดานของเขาจึงอ่อนลง แต่ยังนึกโมโหกับท่าทางไม่เดือดร้อนของสาวน้อยตรงหน้า กลิ่นปลายังหอมโชยยั่วน้ำย่อยให้ทำงาน ความโมโหหิวแทบจะทำให้ขย้ำเด็กรุ่นตรงหน้าได้ในพริบตา
" เอ้า" มือขาวๆ ยื่นปลาที่ย่างสุกได้ที่ให้ แล้วตัวเองก็กินต่ออย่างไม่สนใจบุรุษตรงหน้าที่ยืนองอาจอย่างแสบท้องอยู่
" เจ้าขโมยปลาของข้ามา แล้วยังมาทำเฉยอีกนะ" จินฟงไม่รอช้าต่อว่าเสียงเข้มหมายให้เกรงกลัว แต่ตัวเขาก็หย่อนก้นนั่งลงข้างๆกองไฟ
" ไหนปลาของเจ้า"
" ที่เจ้ากินอยู่นี่ไง "
" ข้าเป็นคนย่าง และแบ่งให้ท่านตัวหนึ่ง เพราะเห็นท่านจ้องปลาของข้าเขม็ง  แล้วท่านนี่ยังบังอาจมาว่าเป็นปลาของท่านอีกนะ"
" หนอยแน่ะ พูดออกมาได้ " จินฟงพูดอย่างมีน้ำโห แต่ปากกัดปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อย สาวน้อยตรงหน้าจัดแจงเสียบปลาตัวใหม่อีกสองตัวหน้าตาเฉย
" นั่นไงๆ เจ้านี่เอาปลาข้ามาหมดแล้วยังมาเถียง "
" ปลาของเจ้างั้นหรือ งั้นมีกี่ตัวเล่า "
" ข้าไม่รู้ ไม่ได้นับ "
" ปลานี่มีทั้งหมดยี่สิบสองตัว ตัวใหญ่สองตัวที่ท่านกินอยู่นั่นไงหนึ่งตัว ที่ข้ากินอีกหนึ่ง นอกนั้นขนาดกลางยี่สิบตัว"
" ตัวที่ท่านกินชื่อ "หย่งจื้อ" ของข้าชื่อ "หย่งฉี" ตัวที่ย่างอยู่กำลังจะสุกชื่อ "หย่งผิง" ตัวที่กำลังจะย่างอยู่นี่ชื่อ " หย่งฝาน" มันมีแต้มสีดำด้านข้าง  นอกนั้นก็ยังมี " หย่งเฉียน" มีจุดตรงท้อง " หย่งไท่" มีไฝตรงหัว " หย่งเหอ" มีครีบสีเทา " หย่ง...."
" พอๆๆๆ หยุด จะอีกกี่หย่ง"
"ข้าจับมาแท้ๆ มาว่าของเจ้า "จินฟงยังเถียงทั้งๆที่ปลาย่างเต็มปาก
" ผิดไปล่ะท่าน หากไม่ได้ข้า ปลาจะสุกไหม ข้าน่ะจับมาย่างที่นี่กับมือ ใส่ไหมา ไฟย่างก็ไฟข้า ปลาก็ของข้า ปลาของข้ามีชื่อทุกตัว ข้ารู้ว่ามีกี่ตัว ท่านก็ไม่รู้ มันชื่ออะไรข้าก็รู้ ท่านก็หารู้ไม่ แบบนี้ถามใครๆก็ต้องว่าเป็นของข้าทั้งนั้น "
จินฟงนิ่งฟังถึงกับอึ้งกิมกี่ กับเด็กจอมแสบที่ขยันตั้งชื่อปลาเสียทุกตัว แถมรู้ตำหนิปลาเสียอีกว่าตัวไหนมีตำหนิอะไรที่ตรงไหนบ้าง  ใครจะมานึก จินฟงจะมาจนแต้มกับเด็กแสบคนนี้ได้ อมยิ้มในทีพลาง กินปลาพลาง แล้วเหลือบมองหน้าขาวๆตรงหน้า แม้จะเปื้อนดินโคลนบ้าง แต่ก็ยังเผยเห็นผิวนวลเนียนใสที่พวงแก้ม ปากอมชมพูจนเกือบแดง ใบหน้านั้นขับแสงอาทิตย์อัสดงทำให้ดูละออตายิ่งขึ้น ท่อนขาเรียวและปลายเท้าที่พ้นกางเกงชาวป่าออกมาก็ไร้ขนยาวเยี่ยงบุรุษ แต่กลับดูงามไร้รอยที่ขัดตา เขาแน่ใจนักว่าเด็กรุ่นตรงหน้าเป็นสาวน้อยและอายุอานานเห็นจะไม่เกินสิบเจ็ดปี
" มาทำอะไรในป่าลึกนี่ เป็นผู้หญิงอะไร มานอนกลางป่า"
สาวน้อยละสายตาจากปลามองเขาแว๊ปหนึ่งอย่างกวนโทโส แล้วเอ่ยตอบอย่างยียวนเช่นเดิม
" ทำไมหรือท่าน มีกฎห้ามผู้หญิงนอนหรือ หรือสตรีจะนอนทีนอนกลางป่าไม่ได้ ต้องไปนอนชายป่า ต้นป่าแทน แล้วนี่ข้าก็นั่งกินปลาอยู่นี่ ไม่ได้นอนสักหน่อย" สาวน้อยตอบหน้านิ่งๆ
" นี่ถ้าไม่ใช่หญิงคงจะโดนบาทาเขาเข้าแล้ว" จินฟงนึกในใจ
แต่นอกใจเขากลับเอ่ยถามนางว่า " แล้วเจ้าชื่อแซ่อะไรเล่า"
" ข้าชื่อ เหม่ยหลง แซ่ หลง  เรียกข้าว่า เจ้าหลงเฉยๆก็ได้ "
" เออดี  ข้าชื่อ จินฟง แซ่ เฟ่ย " จินฟงบอกเสียงภาคภูมิใจ เพราะเชื่อว่าหากเป็นผู้คนย่านนี้แล้วไฉนเลยจะไม่รู้จักเขา และจะไม่หวั่นเกรงชื่อเสียงของบิดาเขา
" ใครถามท่าน"  เจ้าหลงเอ่ยขัดทันควัน
" ไอ้....." พลางนึกคำด่าไม่ออกเพราะเพิ่งนึกได้ว่ามิควรทำ เนื่องจากเป็นสาวน้อยมิใช่หนุ่มน้อย แต่... มันน่านัก จินฟงได้แต่กลืนถ้อยคำต่างๆลงคอ เปลี่ยนเป็นกินปลาย่างตัวต่อไปแทนให้หายแค้น ลืมแม้จะหาบันไดแห่งอาทิตย์อัสดงตามที่ตั้งใจ
" ข้าอิ่มแล้ว ท่านกินต่อไปเถิด " พูดเสร็จก็หันไปล้างมือในแอ่งน้ำเล็กๆริมธาร  เสร็จแล้วก็ล้างหน้าล้างเท้าจนหายเปื้อนดินโคลน  ก่อนจะเดินมาดื่มน้ำในกระบอกที่เตรียมไว้ ชะรอยจะเป็นคนมีน้ำใจไม่น้อย จึงรินน้ำใส่กระบอกไผ่แบ่งให้จินฟง ก่อนจะเติมน้ำใส่ในไหปลาให้เต็ม
" แล้วเจ้ามาทำอะไรแถวนี้ "
" มากินปลา " ดูๆมันตอบให้กวนโทโสต่อไป ก่อนจะถามเขากลับว่า
"ท่านนอนไหน"
" โน่น ถ้ำข้างน้ำตก " จินฟงชี้มือไปทางถ้ำที่เขาเล็งไว้พร้อมปัดกวาดเรียบร้อย ถ้ำแถวนี้ เขามักคุ้นทุกถ้ำก็ว่าได้ เคยสำรวจกับบิดามาก็บ่อย เพียงแต่บางย่านไม่คุ้นเคยนัก เจ้าหลง ใครหนอตั้งชื่อลูกสาวว่าหลง ให้เป็นมังกร เหม่ยหลง มังกรแสนสวย คิดพลางก็นึกถึงคนตั้งว่า ก็ตั้งได้เหมาะสมดี ท่าทางเด็กแสบนี่คงมีพิษสงเหมือนมังกรอยู่ไม่น้อย แม่จะหน้าตาเข้าที ว่าแต่ เจ้าหลงหายไปทางไหนแล้วหว่า เราก็ลืมถามไปว่ามันจะไปทางไหนเพราะมืดแล้ว มัวแต่จัดการกับปลาย่างที่เหลืออยู่อย่างหิวโหย ปลาย่างสี่ตัวตอนนี้ก็ไปนอนเรียงสงบนิ่งในท้องของเขาเป็นที่เรียบร้อย กองไฟที่ก่อไว้ก็เริ่มเป็นเถ้าถ่านจนหมด ตอนนี้แสงดวงอาทิตย์เรียกว่าหมดลง แสงสลัวๆจากกองไฟริบหรี่ แสงจันทร์เดือนมืดทำให้ป่าวังเวง มีเพียงแสงดาวริบหรี่ จินฟงเร่งเท้าเดินกลับไปยังด้านที่น้ำตกยังไหลริน เสียงน้ำตกขนาดใหญ่กระทบแอ่งหินท่ามกลางความเงียบดูเกรงขาม เขาเดินเรื่อยๆไปยังหน้าถ้ำ แปลกใจว่า ทำไมมีกองไฟสุมอยู่หน้าถ้ำกองใหญ่ กิ่งไม้แห้งถูกวางกองไว้กองโตอย่างเป็นระเบียบ ทางมะพร้าวสี่ทางถูกมัดติดกัน ปิดหน้าถ้ำไว้
" อะไรกันวะเนี่ย ถ้ำของเขา มันมีคนอยู่ได้อย่างไร " จินฟงรีบเดินอย่างรวดเร็วไปยังถ้ำของเขา นึกได้ว่าข้าวของส่วนตัวสมุดบันทึกของเขาก็ยังอยู่ในนั้น เขาแง้มทางมะพร้าวที่ปิดอยู่อย่างเบามือ แสงไฟจากกองไฟหน้าถ้ำสลัวๆ ส่องให้เห็นของส่วนตัวที่วางอยู่ที่เดิม ใกล้ๆ ของๆเขามีหญ้าแห้งปูไว้กองหนึ่ง หนังเสือผืนใหญ่ปูทับไว้ จินฟงก้าวเข้าไปในถ้ำโดยไม่รอช้า สำรวจอย่างรวดเร็ว ถ้ำนี้ขนาดไม่ลึก จะเรียกว่าช่องหินแค่นั้นก็ว่าได้ เพราะเหมือนภูเขาถูกเซาะเข้าไปจนเป็นโพรงมากกว่าจะเป็นถ้ำที่ลึกเข้าไปที่ไหนๆได้เหมือนถ้ำขนาดใหญ่ทั่วๆไป ในถ้ำมีโพรงเล็กๆอีกโพรงหนึ่ง แต่อยู่บนกว่า เหมือนถ้ำในถ้ำอีกทีหนึ่ง อยู่ด้านขวามือของเขา บนนั้น ร่างเล็กๆที่นั่งกินปลาย่างอยู่ นอนหลับอย่างสบายอารมณ์ กองหญ้าหนาถูกปูวางทับไว้ด้วยหนังสัตว์ที่มีขนหนานุ่มสีขาวผืนใหญ่ จินฟงนึกโกรธและขำตัวเองที่เสียรู้เด็กคนนี้อีกครั้ง แต่ทว่า ความเหงาเดียวดายท่ามกลางความสงัดของภูผากลับเลือนหายไป อย่างน้อย ณ ราตรีนี้ เขาก็ไม่ได้หลับอย่างเดียวดายอีกต่อไป
จินฟงจึงเดินไปนอนที่กองหญ้าแห้งนุ่มแผ่นหลัง นึกขอบใจคนที่นอนหลับอยู่บนช่องผนังถ้ำที่ทำนอนแสนสบายให้เขา
"ยังมีแก่ใจทำให้ทั้งๆที่มายึดถ้ำนอนเขาไปแท้ๆอย่างไม่บอกกล่าว"
 ท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงช้าๆ ไออุ่นจากหญ้าแห้งช่วยได้ไม่น้อย ไม่นานความเมื่อยล้าทั้งวันก็ถูกผ่อนคลายลง แม้ปริศนาในใจยังค้างคา

" จงเดินไปตามทิศบูรพา    แล้วหันไปหาบันไดจากอาทิตย์อัสดง "

บทนำจอมยุทธแห่งภูผา

            

           จอมยุทธแห่งผาเป็นนิยายจอมยุทธเรื่องแรกของ "ซิงชีเทียน" กำเนิดมาจากการที่ "จินฟง" (หนุ่มแรงบันดาลใจของผู้แต่ง) ที่ชอบเสาะแสวงหาถ้ำเป็นอย่างมาก หลายครั้งหลายคลาต้องผ่านอุปสรรคมากมายกว่าจะเดินทางไปถึงถ้ำเป้าหมาย กว่าจะได้พบรักกับแม่นาง "หมิงหยี " ก็กินเวลานานหลายปี แต่ด้วยความรัก ความกล้าหาญ อดทน ทำให้จินฟงผู้กล้าเอาชนะมารต่างๆไปได้

           "จินฟง" บุรุษหนุ่มรูปงาม(ในอดีต) แต่บัดนี้อายุย่างเข้าวัย 60 ปี ท่วงท่ายังองอาจ ทายาทผู้พิทักษ์แห่งภูเขาหลินอี๋ อันเลอค่า เพราะว่ากันว่าภูเขาแห่งนี้มีถ้ำอยู่มากมาย แต่ประตูถ้ำหามีไม่ นานหลายศตวรรษที่มีจอมยุทธและผู้กล้ามากมายที่หวังจะค้นพบปากทางเข้าถ้ำ แต่ก็หามีใครเจอไม่ แต่ถึงเจอก็ไม่สามารถทำลายทางเข้าถ้ำได้ เพราะเนื้อภูเขาแห่งนี้ดุจก้อนเพชรขนาดอหึมาที่แข็งแกร่งกว่าหินผา หรือเนื้อโลหะใดจะเจาะทะลุทะลวงเข้าไปได้ เหล่าจอมยุทธระดับปรมาจารย์มากมายจึงต้องแสวงหาเคล็ดลับวิชาและปริศนาแห่งภูผาเพื่อครอบครองและไขความลับแห่งผาอันยิ่งใหญ่ ในอดีตกาลมีเพียง"ปรมาจารย์อู๋ถัง"ที่เคยเดินทางฟันฝ่าผ่านด่านน้อยใหญ่เข้าไปได้เป็นผลสำเร็จ แต่ทว่าผู้กล้าคนแรกและคนเดียวที่เคยผ่านเข้าถ้ำภูผาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปได้ มิอาจผ่านกลับมา หลงเหลือไว้เพียงบันทึกการเดินทางของศิษย์ผู้ติดตามบางส่วนเท่านั้น เพื่อให้คนรุ่นหลังสืบเสาะแสวงหากันต่อไป          
         แต่สำหรับจินฟง "ถ้ำหลินอี๋"คือความงมงาย เวทมนต์แห่งแสงอัญมณีอันสูงค่าคือเรื่องเล่าของผู้ไม่มีอะไรจะทำ ถ้ำที่ทำให้ชีวิตของชายหนุ่มอย่างเขาจมปลักกับภูผา ไร้เพื่อนฝูง มีเพียงเสียงนกเป็นเสียงดนตรีขับกล่อม มีเพียงสัตว์ป่าเป็นเพื่อน มีบิดาเป็นอาจารย์ อาหารก็หาตามธรรมชาติเยี่ยงชาวป่าทั่วไป การค้นหาถ้ำหลินอี๋คือความใฝ่ฝันที่จะพิสูจน์ว่า เรื่องราวตามตำนานที่เล่าขานมานั้นล้วนหลอกลวง เขาใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อค้นหา เพื่อไม่ให้คนรุ่นหลังต้องหลั่งเลือดเพื่อมันอีก แต่มันยังว่างเปล่าไร้หนทาง ทิวเขายาวเจ็ดยอด ฤ ทางเข้าจะมิใช่ทางภูเขาหลินอี๋

        " ภูเขาหลินอี๋" ตำนานกล่าวว่า ประตูแห่งถ้ำหลินอี้หนาแข็งยิ่งกว่าภูผาทับกัน 7ชั้น เป็นเนื้อเพชรสีส้มสดก้อนมหึมา แก่นภูเขาคือถ้ำเพชรเลอค่าสีแดงฉานปานเลือดมังกร ลำธารใต้ถ้ำปูลาดด้วยเพชรสีฟ้าเข้มเหมือนสีของหัวใจมหาสมุทรที่ลึกที่สุด ทั่วบริเวณถ้ำล้วนเป็นเพชรสีมรกตและเพชรสีหยกเนื้อดี ที่งอกย้อยใหญ่เล็กปะปนกันมียอดเป็นเพชรสีชมพูอ่อนหวานและเข้มสลับกัน เปรียบประดุจทุ่งดอกไม้เพชรอันวิจิตรบรรจงที่ประเมินค่ามิได้ ผู้ใดที่ป่วยเข้าไปเพียงชั่วคืนก็จะฟื้นคืนพลังด้วยแสงแห่งพลังแร่ธาตุที่บริสุทธิ์และดีเยี่ยม สตรีหรือบุรุษใดที่ผิวพรรณโรยราก็สามารถทำให้ผิวที่เหี่ยวย่นคืนสภาพดุจผิวสตรีแรกรุ่นหรือผิวเด็กที่อ่อนเยาว์ได้เพียงอาบชโลมด้วยธารน้ำที่ปูลาดด้วยน้ำเพชรสีฟ้ามหาสมุทร และหากผู้ใดได้พลังแห่งเพชรสีเขียวมรกตก็จะทำให้บาดแผลและร่องรอยหายไปภายในเจ็ดคืน แต่หากได้สัมผัสกับแสงแห่งเพชรสีชมพูแล้วไซร้ จิตใจก็จะงดงาม ความแค้นจะบรรเทา ความโกรธจะหายไป เหลือไว้เพียงคุณธรรมและเมตตา แต่ที่เป็นอนิจังสิ่งใดให้ประโยชน์สูงสุดก็ล้วนมีผู้ละโมปปรารถนาจะครอบครอง ทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งการแย่งชิง ประหัตประหาร เทพเจ้าแห่งภูเขาหลินอี๋จึงต้องแต่งตั้งเทพพิทักษ์ เพื่อห้ามมนุษย์ที่ไร้คุณธรรมและหวังเป็นใหญ่เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิแห่งนี้ หรือนำเพชรศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นสมบัติส่วนตน  และนี่คือที่มาของจอมยุทธแห่งภูเขาหลินอี๋ ผู้ถือกระบี่เพชรเป็นอาวุธ

     " เหม่ยหลง " มังกรแสนสวย จอมป่วนผู้โดดเดี่ยว มีธนูเป็นอาวุธ มีหัวใจเยือกเย็นดั่งภูเขาหิมาลัย มีวาจาคมกริบ และสายตาดุจเพลิงเผา แค้นต้องชำระ ไม่ชนะไม่ยอมตาย มีใบหน้ารูปไข่ กินกล้วยเป็นอาหารหลัก ถึงจะแพ้ก็จะสู้
"หากชีวิตไม่สิ้น หินผาไม่กลบหน้า ดวงวิญญาไม่ดับสูญ แค้นของข้าต้องเอาคืน"